วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชมพู่มะเหมี่ยว

   "ชมพู่" เป็นผลไม้ที่มีหลากหลายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ต่างก็มีรสชาติแตกต่างกันไป ทั้งด้านผลผลิตและราคา แต่ชมพู่ก็เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของเมืองไทยเป็นที่นิยมรับประทานกันทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ชมพู่ที่ขึ้นชื่อที่สุดอาจเป็นของจังหวัดเพชรบุรี ที่เรียกกันว่า "ชมพู่เพชร" แต่ที่จังหวัดสมุทรสงครามมีเกษตรกรปลูกชมพู่กันมากมายหลายพันธุ์เช่นกัน แต่ละพันธุ์ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้ชมพู่เมืองเพชรบุรี และที่เคยแนะนำไปแล้วคือชมพู่ "น้ำดอกไม้" ที่นับวันจะหายาก เพราะมีผู้นิยมปลูกกันน้อยมาก และยังเป็นของใหม่ในตลาดผลไม้ จึงมีการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกกันมากขึ้นตามปกติเกษตรกรในจังหวัดสมุทรสงครามจะปลูกชมพู่เพียงเป็นพืชแซมเท่านั้น ไม่นิยมปลูกกันเป็นหน้าเป็นตา หรือเป็นล่ำเป็นสัน เนื่องจากชมพู่เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ไม่คงทน เก็บวันขายวันทำนองนั้น

"มะเหมี่ยว" ของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นชมพู่พันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากของผู้บริโภคผลไม้โดยทั่วไป"ชมพู่มะเหมี่ยว" มีลักษณะผลคล้ายลูกแอปเปิ้ล และมีกลิ่นหอมคล้ายๆ กลิ่นดอกกุหลาบ ชาวต่างชาติจึงเรียกชมพู่มะเหมี่ยวว่า "โรสแอปเปิ้ล" ชมพู่มะเหมี่ยวมีรสชาติหวานอร่อย เนื้อนุ่ม น่ารับประทานจึงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญ ชมพู่มะเหมี่ยวมีแห่งเดียวที่จังหวัดสมุทรสงครามเท่านั้น




นายวิเชียร ตันติรักษ์ อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่24 หมู่ 2 ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามกับนายสนธยา ตันติรักษ์ อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่2 ตำบลสวนหลวง 2 พ่อลูกซึ่งประสบความสำเร็จในการปลูกชมพู่มะเหมี่ยว โดยเริ่มแรกปลูกไว้ดูเล่นหน้าบ้านและไว้รับประทานเองเพียง 2 ต้นเท่านั้น แต่ให้ผลดกจึงเก็บไปขายที่ตลาด ปรากฏว่ามีผู้ติดใจรสชาติ จนเป็นที่ต้องการของท้องตลาด และขายได้ราคาดี จึงขยายพันธุ์และพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้นเป็น 3 ไร่เศษๆ ประมาณ 120 ต้น ในขณะนี้มีรายได้จากชมพู่มะเหมี่ยวประมาณปีละ 1 แสนกว่าบาท โดยชมพู่มะเหมี่ยวออกผลผลิตปีละ 2 ครั้ง คือในช่วงเดือนธันวาคม และมกราคม


ผู้ใหญ่สนธยา กล่าวว่า แรกเริ่มเดิมทีการปลูกชมพู่มะเหมี่ยวของเกษตรกรในแถบนี้ ยังไม่เป็นล่ำเป็นสันนัก เนื่องจากขาดความรู้ความชำนาญในเรื่องการดูแล และการรักษา อีกทั้งราคาชมพู่มะเหมี่ยวไม่ดีเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันแนวโน้มทางด้านราคาดีขึ้นมาก จึงมีเกษตรกรหันมาปลูกชมพู่มะเหมี่ยวกันมากขึ้น ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกชมพู่มะเหมี่ยวในจังหวัดสมุทรสงครามประมาณ 100 กว่าราย ถือว่าเป็นผลไม้หลักของจังหวัดสมุทรสงคราม รองมาจากส้มโอและลิ้นจี่ แต่ที่น่าเสียดายชมพู่มะเหมี่ยวมักติดดอกออกผลไม่ดกเหมือนชมพู่พันธุ์ธรรมดา กิ่งหนึ่งจะติดลูกประมาณ1-3 ลูกเท่านั้น แต่ลำต้นใหญ่ จึงใช้พื้นที่มากในการเพาะปลูกกว่าพืชชนิดอื่นๆ ส่วนใหญ่จะปลูกเป็นพืชแซม ในสวนลิ้นจี่และส้มโอ เป็นต้น
   วิธีการเพาะปลูกชมพู่มะเหมี่ยวนั้น มีด้วยกันหลายวิธี เริ่มแรกขยายพันธุ์ด้วยการใช้การเพาะเมล็ดในถุงพลาสติก ซึ่งมีขุยมะพร้าวและปุ๋ยคอกผสมอยู่ด้วย รดน้ำทุกวัน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ข้อเสียคือ เมื่อโตขึ้นลำต้นจะสูง ให้ผลผลิตช้า และที่สำคัญคือกลายพันธุ์ได้ง่าย จึงหันมาใช้วิธีทาบกิ่งแทน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตดีกว่าวิธีแรก เนื่องจากการทาบกิ่งพันธุ์เป็นการช่วยเสริมความแข็งแรงของราก และการเจริญเติบโตของลำต้นก่อนนำไปปลูกได้ดี ยังเป็นการย่นระยะเวลาในการเลี้ยงต้นพันธุ์ และต้นของชมพู่มะเหมี่ยวก็ยังเป็นพุ่มสวยงาม ต้นกล้าที่ได้จากการทาบกิ่งเมื่ออายุได้ 6 เดือนก็สามารถย้ายไปปลูกได้เลย ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการดูแลรักษาซึ่งก็ไม่ยุ่งยากมากนัก เพียงแต่รดน้ำวันเว้นวัน และให้ปุ๋ยตามความจำเป็น คือให้ปุ๋ยสูตรเสมอ15-15-15 ช่วงก่อนออกดอก ส่วนในช่วงให้ผลผลิตต้องใช้สูตร 13-13-21


ชมพู่มะเหมี่ยวจะให้ผลผลิตเมื่ออายุ 3-5 ปี ในระยะแรกจะให้ผลผลิตประมาณ 20-30 กิโลกรัมต่อ1 ต้น เมื่อลำต้นมีอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป ก็จะให้ผลผลิตประมาณ 60-80 กิโลกรัมต่อ 1 ต้นและต่อ1 ปี แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและดินฟ้าอากาศด้วย ส่วนเรื่องการป้องกันและการกำจัดศัตรูพืชในชมพู่มะเหมี่ยว ศัตรูที่สำคัญของชมพู่มะเหมี่ยวคือหนอนที่ชอบเจาะเข้าไปทำลายลำต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยหลาวไม้ทำเป็นลิ่มตอกอัดเข้าไปตรงรูที่หนอนเจาะ หนอนจะตายไปเอง ส่วนหนอนด้วงที่กัดกินใบ ที่ชอบระบาดในหน้าหนาว ควรใช้สารเคมีจำพวก "เมตโธมิล" หรือ "แลนเนต" ผสมกับสารป้องกันเชื้อรา ฉีดพ่นในช่วงชมพู่มะเหมี่ยวเริ่มติดผลเท่านั้น ซึ่งจะไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 1 ปี แต่ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรฉีดพ่นสารเคมีใดๆ ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเคมี อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้


ช่วงเวลาการติดดอกถึงดอกบานของชมพู่มะเหมี่ยว ใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ช่วงติดผลอ่อนจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวจะใช้เวลาประมาณ 60 วันเมื่อผลชมพู่เริ่มโตประมาณหัวนิ้วมือและมีสีแดงออกเรื่อๆ เกษตรกรจะเริ่มใช้ถุงพลาสติกชนิดมีหูหิ้วขนาด 8 คูณ 10 นิ้ว ห่อผลชมพู่ เมื่อผลชมพู่มะเหมี่ยวแก่ได้ที่ก็จะออกสีแดงเข้ม และส่งกลิ่นหอมแสดงว่าพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะต้องระวังในการเก็บเกี่ยวเป็นพิเศษ ไม่ให้ผลช้ำเพราะชมพู่มะเหมี่ยวเป็นผลไม้ที่มีผิวเปลือกบาง และมีอายุในการขายค่อนข้างสั้น หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้วก็จะนำมาบรรจุในเข่งที่มีความหนาเป็นพิเศษบุด้วยใบตองทุกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผลชมพู่กระทบกัน ซึ่งจะเป็นการง่ายในการส่งไปจำหน่ายราคาขายส่งอยู่ในระหว่างกิโลกรัมละ 50-70 บาทส่วนทางด้านการตลาดมีจำหน่ายแน่นอนที่ตลาดแม่กลอง สมุทรสงคราม และที่ตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี ตลาดสี่มุมเมือง กทม. และตลาดผลไม้ทั่วๆไป ในราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท
   ผู้ใหญ่สนธยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ชมพู่มะเหมี่ยวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่เกษตรกรน่าจับตามอง เพราะไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านรูปลักษณ์ สีสันขนาดของผล รสชาติที่หอมหวาน และอร่อยแล้วแนวโน้มทางการตลาดของชมพู่มะเหมี่ยวก็มีทีท่าว่าจะสดใสไม่แพ้ผลไม้เลื่องชื่ออย่างอื่นของจังหวัดสมุทรสงคราม เช่น ลิ้นจี่ ส้มโอ ส้มแก้ว และมะพร้าวน้ำหอม ถ้าหากใครสนใจอยากจะขอคำแนะนำในการปลูกชมพู่มะเหมี่ยว ยินดีให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ ตามที่อยู่ดังนี้ 24 หมู่ 2 ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โทรศัพท์034-715-583 และ 08-9224-0084
                                          ยำเกสรดอกชมพู่ 

1. ชื่อ ชมพู่มะเหมี่ยว
2. ชื่ออื่น ชมพู่สาแหรก ม่าเหมี่ยว ชมพู่แดง ชมพู่ม่าเหมี่ยว
3. ชื่อวิทยาศาสตร์ Eugenia malaccensis Linn.
4. วงศ์ MYRTACEAE
5. ชื่อสามัญ Pomerac, Malay Apple
6. แหล่งที่พบ ทุกภาค
7.ประเภทไม้ ไม้ยืนต้น
8.ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 
         ต้น  เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางแผ่กิ่งก้านสาขามาก สูง
6-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อนผิวเรียบเป็นไม้ผล
ปลูกตามบ้านหรือปลูกในสวนไม้ผล
         ใบ  ใบเดี่ยวเรียงตัวแบบตรงข้างสลับกันเป็นคู่ๆ 
(decussate) ใบอ่อนสีชมพูใบแก่ขนาดใหญ่รูปร่างมน ใบ รูปรีปลายใบแหลมฐานใบมนขอบใบเรียบ ขนาดกว้าง 8-12
ซม. ยาว 15-25 ซม. เนื้อใบหนาผิวใบเป็นมันใบแก่สีเขียวเข้ม ท้องใบจะเห็นเส้นกลางใบ 20-26 คู่ ปลายเส้นแขนงใบจะจดกันก่อนถึงขอบใบ


         ดอก  ดอกช่อแบบ cyme ประกอบด้วยดอก 3-5 
ดอก ออกตามกิ่งที่มีขนาดใหญ่ (cauliferous) ดอกมี ขนาดใหญ่สีชมพูเข้มหรือสีแดง มีเกสรตัวผู้และก้านชูเกสรเป็น สีชมพูเด่นชัด ติดอยู่โดยรอบที่ขอบของฐานรองดอกจะอยู่ แยกกัน ขนาดยาว 4-5 ซม. เกสรตัวเมียมีรังไข่ฝังอยู่ใน ฐานรองดอกตรงกลาง (inferior overy) มี 2-3locules
         ผล  ผลอ่อนนุ่มแบบ berry ส่วนของผลมีชั้น
ของกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ด้านขั่วของผล (calyx persistant และ stigma persistant)
9.ส่วนที่ใช้บริโภค ยอด ผลสุก (เนื้อหุ้มเมล็ด) เกสรตัวผู้
10.การขยายพันธุ์ เมล็ด กิ่งตอน
11.สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม บริเวณสวนที่มีความชุ่มชื้นตามสวนริมน้ำ
12.ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ ออกดอกระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
13.คุณค่าทางอาหาร คุณค่าทางอาหารของผลชมพู่มะเหมี่ยวในส่วนที่กินได้ 100 กรัม และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายประกอบด้วย
Cal 28 Unit
Moist ure 91.7 %
Protein 0.3 Gm.
Fat 0.1 Gm.
CHO 6.5 Gm.
Fibre 1 Gm.
Ash . 0.4 Gm
Ca 2 mg.
P 8 mg.
Fe 0.6 mg.
A.I.U 108
B1 0.01 mg.
B2 0.04 mg.
Niacin 0.3 mg.
C 20 mg.
14.การปรุงอาหาร เกสรตัวผู้นำมายำ ยอดใช้รับประทานเป็นผักสด ผลสุก รับประทานได้เป็นผลไม้ รสหวานอมเปรี้ยว
15.ลักษณะพิเศษ ราก แก้คัน แก้ไข้ แก้บิด ขับปัสสาวะ เปลือกราก ขับประจำเดือน ใบ แก้บิด





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.ryt9.com
www.bloggang.com
ภาพจาก Internet

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง เมนูเส้นมาแรง โดนใจคนชอบรสแซ่บ



   ต้มยำกุ้งเมนูที่สร้างชื่ออาหารไทย ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และด้วยชื่อเสียงของเมนูต้มยำกุ้ง ทำให้ปัจจุบันได้เห็นเมนูนี้ถูกนำมาปรับแต่ง ให้เกิดความหลากหลาย และเพิ่มอรรถรส ในการกินเมนูต้มยำกุ้งในรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มทางเลือกให้คนที่ชื่นชอบอาหารไทยรสแซบ และที่กล่าวมาทั้งหมด เพื่อนำเข้าสู่ เมนูเด็ด “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งสูตรเด็ด” ของ” ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งน้ำข้น ตลาดนัดรถไฟ” นั่นเอง 
                                                    นายสมแสง ตรีสิริพัฒนกุล
สำหรับร้านก๋วยเตี๋ยว ต้มยำกุ้งแห่งนี้ ถือกำเนิดมาจากสองเพื่อนซี้ “นายสมแสง ตรีสิริพัฒนกุล” และ "นายกฤษณ์ สุขประเสริฐ" สองพ่อครัวของร้านอาหารแห่งนี้ ที่พลิกผันตัวเอง ออกมาเปิดร้านข้าวต้มปลา และต้มยำกุ้ง ซึ่งเปิดขายอยู่มาได้ระยะหนึ่ง ความบังเอิญพบว่า การนำเส้นราเม็ง มาใส่ลงในต้มยำกุ้ง มันก็ไปด้วยกันได้ดีเลยที่เดียว ก็ลองนำเส้นอื่นๆ มาใส่ในต้มยำกุ้ง อีกหลายเส้น เพื่อทดสอบว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่ารสชาติมันไปด้วยกันได้ดีทุกเส้น ก็เลยตัดสินใจทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งขาย
                                                หนึ่งชามใส่กุ้งขนาดใหญ่ 1-2 ตัว
นายสมแสง เล่าว่า หลังจากได้มีการปรับสูตรต้มยำกุ้ง จนลงตัวและไปด้วยกันได้กับทุกเส้น ที่เลือกมาขาย ได้แก่ เส้นหมี่ เส้นเล็ก วุ้นเส้น ราเม็ง มาม่า โดยสูตรต้มยำกุ้งของทางร้านเราจะแตกต่างจากร้านทั่วไป เน้นรสจัดจ้าน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด และไม่หวาน เพราะจากประสบการณ์ ตอนที่ทำต้มยำกุ้ง และข้าวต้มปลาขายในช่วงนั้น ลูกค้ามักจะบอกว่าไม่เอาหวาน จึงคิดว่าลูกค้าคนไทย น่าจะชอบรสชาติต้มยำกุ้ง แบบดั้งเดิมที่ไม่หวาน ซึ่งก็จะแตกต่างจากร้านอาหารที่เมนูต้มยำกุ้งทั่วไป
                                                    ส่วนผสมที่ลวกมาพร้อมปรุง
ในส่วนขั้นตอนการทำเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง เริ่มจากการเตรียมน้ำต้มยำกุ้งที่ปรุงมาพร้อมเสิร์ฟ ลูกค้าสามารถมาปรุงเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะคนชอบรสเผ็ด เพราะใส่พริกไม่มาก เพื่อให้ลูกค้ามาปรุงข้างนอกได้ ส่วนรสชาติอื่นๆ จริงแล้วปรุงรสชาติมาแล้ว แต่ถ้าไม่ถูกใจลูกค้าสามารถปรุงเพิ่มได้ เพราะเตรียมเครื่องปรุงไว้สำหรับปรุงเพิ่มด้วย หลังจากได้น้ำต้มยำกุ้งแล้ว กุ้งที่นำมาใช้จะลวกกุ้งมาจากที่บ้าน เช่นกัน ส่วนเส้นจะมาลวกที่หลังตามที่ลูกค้าสั่งว่าต้องการเส้นอะไ ร ซึ่งการเตรียมทุกอย่างมาพร้อม ทำให้เราสามารถทำได้เร็ว และลูกค้าไม่ต้องรอนาน จุดเด่นของเราอยู่ที่เลือกใช้กุ้งแม่น้ำไซด์ขนาดใหญ่ โดยขนาดของกุ้งขนาดไม่เกิน 13 ตัว ต่อ1 กิโลกรัม และขนาดเล็กลงมาขนาด 15-16 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม 

   โดยในหนึ่งชามจะใส่กุ้งจำนวน 1 ตัว ถ้าเป็นกุ้งขนาดเล็กลงมาอาจจะใส่กุ้ง 2 ตัวต่อหนึ่งชาม น้ำต้มยำกุ้งที่นำมาใช้จะเป็นสูตรต้มยำกุ้งน้ำข้น เพราะมันจะเข้ากันได้ดีเมื่อใส่เส้นลงไป ต่างจากต้มยำกุ้งน้ำใส เมื่อเติมเส้นลงไปรสชาติจะไม่เข้มข้นเท่ากับน้ำข้น จึงเลือกขาย ต้มยำกุ้งน้ำข้นเพียงอย่างเดียว แต่นอกจากเมนู ต้มยำกุ้ง ก็ยังมีก๋วยเตี๋ยวต้มยำปลา ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวสูตรน้ำข้นเช่นกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่ชื่นชอบกินปลาด้วย
    สำหรับร้านก๋วยเตี๋ยวยำกุ้ง เปิดขายเฉพาะ วันเสาร์ - อาทิตย์ ตลาดนัดรถไฟ สวนจตุจักร กรุงเทพฯ เปิดขายพร้อมกับการเปิดตลาดช่วงเย็น ค่ำไปจนถึงดึก เที่ยงคืน กลุ่มลูกค้า เป็นกลุ่มคนที่มาช้อปปิ้งในบริเวณนั้น มีทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน เสียเป็นส่วนใหญ่ คนแก่ หรือ ว่า เด็กจะมีน้อย และด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อน ทำให้เด็ก หรือ ผู้สูงอายุอาจจะกินไม่ได้ ส่วนราคาขายต่อชามอยู่ที่ ชามละ 45 บาท ส่วนปลาถูกลงมาอีก 5 บาท ขายชามละ 40 บาท กำไรที่ได้ต่อชามหลังหักค่าใช้จ่ายค่าเช่า ได้กำไรประมาณ 10-15 บาทต่อชาม
       
                                          จำนวนคนที่มาใช้บริการ
  
“ปัจจุบันวัตถุดิบราคาเพิ่มขึ้นทุกรายการ ทำให้ได้กำไรไม่มากนัก ซึ่งมีแผนที่จะปรับราคาเป็น 50 บาท แต่ก็ยังเกรงใจลูกค้า เพราะขายราคาเท่านี้มาตั้งแต่แรก แต่เน้นขายปริมาณมากก็จะได้กำไรมากขึ้น โดยอาจจะไม่ต้องปรับราคา แต่ก็คงต้องดูราคาวัตถุดิบด้วย ถ้าปรับราคาเพิ่มขึ้นมาก ก็คงจะต้องปรับราคา เช่น ราคาเห็ด เดิมถุงละ 20 บาท เพิ่มเป็นถุงละ 70 บาท เป็นต้น”
       โดยยอดขายต่อวันอยู่ที่ 200 ชามขึ้นไป ซึ่งเป็นยอดขายเท่ากับจำนวนวัตถุดิบเตรียมมา ซึ่งมีแผนที่จะเตรียมวัตถุดิบมาเพิ่ม แต่ด้วยจำนวนคนที่จะมาช่วย และโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งกินยังไม่เพียงพอ จึงยังไม่กล้าเพิ่มมาก ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดเป็นร้าน เพื่อจะให้ขายได้ทุกวัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่เหมาะสม
      
  โทร. 084-217-7284 

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 21 พฤษภาคม 2555 09:40 น.


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เป็นหนึ่ง ร้านของเก่า จุดประกายมนต์เสน่ห์คนรักงานไม้

                                         เป็นหนึ่ง ร้านขายของเก่า ตลาดนัดรถไฟ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจ เฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน ที่เป็นของเก่าโบราณ ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงส่งผลให้เกิดผู้ค้ารวมถึงตลาดเก่าโบราณ เกิดขึ้นหลายแห่ง เพราะด้วยมนต์เสน่ห์ที่มัดใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้เกิดการเติบโตของตลาดค้าของเก่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
และในวันนี้ ได้มีโอกาสนำเสนอเรื่องราวของผู้ค้าของเก่าโบราณ ในย่านตลาดนัดรถไฟ ว่าเขามีวิธีการทำตลาด และหาสินค้ากันอย่างไร เชื่อว่า ด้วยผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ทำให้หลายคนอยากเข้าสู่ธุรกิจนี้ แต่แน่นอนไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุกคนมีความตั้งใจจริง
                                                  นายภาณุวัฒน์ ธรรมโส เจ้าของร้าน

      นายภาณุวัฒน์ ธรรมโส เจ้าของ “ร้าน เป็นหนึ่ง” เปิดให้บริการในย่านตลาดนัดรถไฟ สวนจตุจักร แหล่งจำหน่ายของเก่าโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดในขณะนี้ เล่าให้ฟังว่า สำหรับธุรกิจค้าขายของเก่าโบราณในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะทั้งกลุ่มนักสะสม และคนที่หาของแต่งบ้าน แต่งร้าน ต่างก็อยากได้ของเก่าโบราณไปตกแต่ง ซึ่งแน่นอนคงไม่มีใครปฏิเสธถึงเสน่ห์ของเก่าที่มนต์ขลัง เวลาถูกนำไปตกแต่งร้าน แต่งบ้านช่วยเสริมให้สถานที่นั้นดูน่าสนใจขึ้นมาทันที และด้วยเหตุนี้เอง ทำตลาดธุรกิจค้าของเก่าเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
                                         เก้าอี้ตัดผม อายุมากกว่า 60 ปี
สำหรับผู้ที่ต้องการจะเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ ซึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครก็สามารถจะทำได้ แต่ก็ไม่อยากถ้าทุกคนตั้งใจ เพราะเชื่อว่า ในตลาดผู้ค้าของเก่า มากกว่า 90% มาจากความชอบส่วนตัว และมากกว่า 70% เริ่มจากกลุ่มนักสะสม สุดท้ายก็กระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจค้าของเก่า มูลค่าตลาดนั้นหลายล้านบาท ที่วนเวียนและสร้างรายได้ให้กับผู้ค้าของเก่า ส่วนสินค้าที่มีการค้าขายกันและได้รับความนิยม มีตั้งแต่งานชิ้นเล็ก ที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ยารักษาโรค ฯลฯ เครื่องใช้ในบ้าน เช่น จาน ชาม หม้อ โอ่ง ไห แก้ว โคมไฟ เตา ฯลฯ และงานเฟอร์นิเจอร์ ไม้ โต๊ะ ตู้ เตียง ฯลฯ
 ในส่วนของร้านเป็นหนึ่ง เป็นร้านที่ขายสินค้าในทุกกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น แต่ที่ทำรายได้ให้กับทางร้านมากที่สุด เป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้ ของแต่งบ้านทุกประเภท ที่หาได้ อายุของเก่า ไม่ต่ำกว่า 40 ปีขึ้นไป ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเก่า ยิ่งถ้าของสวยสมบูรณ์ เดิมๆ ไม่มีจุดที่ซ่อม และที่สำคัญอายุยิ่งมาก หายากและลูกค้ากลุ่มนักสะสมมีความต้องการสูง ราคายิ่งสูงตามไปด้วย ดังนั้น จึงบอกราคาสินค้าแบบตายตัวไม่ได้ ซึ่งตัวอย่างราคา เช่น เฟอร์นิเจอร์ตู้โบราณ ราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่นบาท บางชิ้นไปจนถึงหลักแสนบาทก็มี ส่วนของชิ้นเล็ก หลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพันบาท
                                          ชุดของเล่นสังกะสี และสินค้าโชว์ห่วย
 นายภาณุวัฒน์ เล่าถึง แหล่งที่มาของเก่า มาจากการเดินทางไปหาตามบ้าน แหล่งชุมชน ตลาดโบราณ ที่มีของเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบัน แม้ว่าสินค้าจะเริ่มหายากขึ้น แต่ก็ยังพอมีให้กับพ่อค้า แม่ค้า ของเก่า หน้าใหม่ได้นำมาขายหารายได้ ส่วนพ่อค้าบางคนที่มีเงินมากหน่อย ก็อาจจะใช้วิธีการไปซื้อต่อจากพ่อค้า แม่ค้าที่ขายอีกที่หนึ่ง แหล่งหาซื้อของเก่าที่พ่อค้า แม่ค้า นิยมไปซื้อมาขาย ก็มีหลายแหล่งตามต่างจังหวัด เช่น ตลาดไท จังหวัดปทุมธานี ราชบุรี สุพรรณบุรี อยุธยา นครราชสีมา เป็นต้น แต่ถ้าจะให้ได้กำไร แบบเป็นกอบเป็นกำ พ่อค้าส่วนใหญ่จะนิยม เดินทางออกไปหาสินค้าเองจากเจ้าของ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้า คนกลาง
                                           ลังเป๊ปซี่
ในส่วนความรู้เรื่องของเก่า ส่วนหนึ่งมาจากการศึกษาด้วยตัวเอง และศึกษาจากคนรอบข้าง ดูว่า พ่อค้าในตลาดขายสินค้าอะไร และก็ไปหาสินค้าเหล่านั้นมาขาย ถ้าพ่อค้า ที่อายุมากหน่อย ก็อาจจะได้เคยสัมผัส หรือได้ใช้ของเหล่านี้มาบ้าง แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ อาศัยใจรัก และศึกษาด้วยตัวเอง อาจจะมาจากการบอกกล่าวของกลุ่มนักสะสมว่าต้องการสินค้าแบบไหนและหาเพื่อนำมาขาย และด้วยความที่ของเก่า ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น พ่อค้าเหล่านี้ต้องมีความรู้ในเรื่องของงานซ่อมด้วย

ส่วนรายได้ต่อเดือน ก็ขึ้นอยู่กับว่า หาสินค้าได้มากน้อยแค่ไหน และตรงกับความต้องการของลูกค้า หรือไม่ ผลตอบแทนกำไรประมาณ 30% ขึ้นไป ซึ่งกลุ่มคนซื้อไม่ได้มองเรื่องของกำไรหรือราคามากนัก ถ้าชื่นชอบ และเป็นของหายากก็ยินดีที่จะจ่าย การตั้งราคา ส่วนใหญ่ พ่อค้าที่ทำมาก่อนรู้กันว่า สินค้าแบบนี้ จะราคาเท่านี้ และในวงการส่วนใหญ่จะตั้งราคาไม่ได้แตกต่างกัน


                                                      
ตู้โชว์บุหรี่ โบราณ


สำหรับร้านเป็นหนึ่ง สินค้าที่ขายกันมากจะกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก ประเภทต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักได้รับความนิยมมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจุบัน เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเก่า เริ่มหายาก เนื่องจากไม้สักหายาก และฝีมือการทำเฟอร์นิเจอร์โบราณนั้นฝีมือดีมาก ปัจจุบันหาช่างฝีมือที่ทำเฟอร์นิเจอร์ได้เทียบเท่าคนโบราณนั้นหายาก เป็นเหตุผลที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณได้รับสนใจอย่างมาก ปัจจุบันเฟอร์นิเจอร์โบราณของไทย โดยเฉพาะตู้โบราณ ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักสะสมคนไทยเท่านั้น ชาวต่างชาติเองชื่นชอบฝีมือช่างเฟอร์นิเจอร์ไทยเช่นกัน จึงมีสินค้าของเก่าโบราณบางชิ้นได้ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา


 ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดนัดรถไฟฟ้า เปิดขายวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เวลาเย็นไปจนถึงดึก ซึ่งภายในตลาดจะมีของเก่าทุกประเภทให้เลือก โดยผู้ค้า จะทำความสะอาด พร้อมซ่อม ในแบบที่พร้อมนำไปใช้งานได้ทันที กลุ่มลูกค้าที่มาเดินซื้อของกลุ่มนักสะสม กลุ่มคนที่ต้องการของแต่งบ้านแนวเก่าโบราณ กลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ที่ชอบของเก่า ซึ่งจะเห็นว่าแต่ละร้านจะมีสินค้าที่ขายตามแนวที่แต่ละคนถนัด และหาสินค้ามาได้ บางครั้ง ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะขายอะไรแบบเฉพาะเจาะจง เพียงแต่ถ้าสินค้าตัวไหน สามารถหาได้ ก็นำมาขาย


โทร. 08-4652-1848




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:


www.manager.co.th : 17 พฤษภาคม 2555 09:24 น.


หมอนจัดท่านอน Mr.BIG หลับคลายเมื่อยเพื่อสุขภาพ +cilp

                                                  หมอนจัดท่านอน ‘Mr.BIG’ แบบ '9' (nine)
    หมอนรูปทรงแปลกตา คล้ายตัวอักษร ‘9’ ‘7’ และ ‘J’ ภายใต้แบรนด์ ‘Mr.BIG’ ถูกออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด เพื่อจัดท่านอนที่เหมาะสม ช่วยให้ผู้นอนได้หลับสบาย และลดอาการปวดเมื่อยหรือเคล็ดขัดยอกจากสาเหตุการนอนผิดท่า
                                                       ชวกิจ เก้าเอี้ยน (ซ้าย) และหุ้นส่วน จันทิรา ศรีแก้ว
     แรงบันดาลใจการสร้างสรรค์หมอนดังกล่าว “ชวกิจ เก้าเอี้ยน” เจ้าของธุรกิจ เล่าให้ฟังว่า เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกายภาพบำบัด โดยหนึ่งในวิชาที่เรียน คือ การจัดท่านอนที่ถูกต้อง ซึ่งผู้นอนจำเป็นต้องใช้หมอนหลายใบ วางตามส่วนต่างๆของร่างกาย จึงจะรองรับท่านอนที่เหมาะสมได้ครบถ้วน ซึ่งไม่สะดวกต่อการใช้จริงในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความคิดจะพัฒนาหมอนที่สามารถจัดท่านอนให้เหมาะสมได้ภายในใบเดียว 
       “คนส่วนใหญ่มักมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยไม่รู้ว่า สาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการนอนไม่ถูกท่า ตื่นมาแล้ว รู้สึกปวดเมื่อย นอนไม่เต็มอิ่ม ซึ่งในชีวิตจริง คนทั่วไปยากจะรู้ได้ว่า ต้องนอนท่าไหนจึงจะเหมาะสม รวมถึง เวลาหลับไปแล้ว ก็ยากที่จะควบคุมร่างกายให้คงอยู่ในตำแหน่งหมอนแต่ละใบที่เหมาะสมได้ ทำให้ผมเกิดไอเดียจะออกแบบหมอนใบเดียว ซึ่งสามารถรองรับการนอนที่เหมาะสมได้ครบถ้วน” เจ้าของไอเดีย กล่าวเสริม
ชวกิจ เผยว่า ใช้ทุนเบื้องต้นกว่า 5แสนบาท กับเวลาอีกครึ่งปี เพื่อพัฒนา ออกแบบ และผลิตหมอน โดยได้ทดสอบการใช้งานจริงกับกลุ่มตัวอย่างไม่ต่ำกว่า 100 คน จนได้แบบที่ลงตัว กลุ่มตัวอย่างพึ่งพอใจและเห็นประโยชน์ของสินค้า
       ทั้งนี้ หมอน Mr.BIG ได้จดสิทธิบัตรการออกแบบไว้แล้ว ลักษณะเป็นหมอนขนาดใหญ่ รูปทรงคล้ายตัวอักษร ‘9’ ‘7’ และ ‘J’ คุณสมบัติเน้นรองรับร่างกายผู้นอนได้ทุกส่วน ตั้งแต่คอ หลัง แขน ขา และช่วงท้อง ช่วยให้ผู้นอนได้นอนในท่าที่ถูกต้องตามธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว อีกทั้ง เมื่อผู้นอนหลับไปแล้ว หมอนจะยังคงรองรับให้นอนได้ถูกท่าต่อเนื่อง แม้ผู้นอนจะดิ้นหรือพลิกตัวไปมาก็ตาม 
       นอกจากนั้น ยังคำนึงถึงเรื่องความหนานุ่ม และความสูงต่ำของหมอนด้วย เพื่อจะรองรับและกระจายน้ำหนักของผู้นอนได้เหมาะสมที่สุด
                             

                                       รองรับการนอนท่าต่างๆ    








เจ้าของไอเดีย เสริมด้วยว่า ในการออกแบบจะคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ทว่า รูปทรงที่ออกมาคล้ายตัวอักษรต่างๆ นั้น นับเป็นความบังเอิญ จึงนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อรุ่น เพื่อสะดวกต่อการเรียก และจดจำ โดยรุ่นตัวอักษร ‘7’ และ ‘J’ เหมาะกับพฤติกรรมผู้ชอบนอนตะแคง ส่วนรุ่น ‘9’ เหมาะทั้งผู้ชอบนอนหงาย และนอนตะแคง
                                          ในชุดจะมีปลอกหมอนแถมให้ด้วย
  ด้านวัสดุใช้เนื้อผ้าคอตตอน 100% เกรดเอ ระบายอากาศได้ดี ภายในยัดด้วยเส้นใยสังเคราะห์แบบปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งกระจายน้ำหนักได้ดีที่สุด สนนราคามีตั้งแต่ใบละ 850-3,500 บาท (แล้วแต่รุ่นและขนาด) ในชุดจะมีปลอกหมอนแถมให้ด้วย อายุการใช้งานอย่างต่ำ 1 ปี ช่องทางตลาด ขายผ่านเว็บไซต์ www.mrbigpillow.com ควบคู่ออกงานแสดงสินค้า และกำลังจะส่งเข้าห้างสรรพสินค้า
                                          ปรับมาใช้สำหรับนั่งเล่นได้
สำหรับลูกค้าเป้าหมาย มุ่งไปตลาดกลางบน ทั้งกลุ่มคนวัยทำงานที่รักสุขภาพ และสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยให้นอนตะแคงได้สบายยิ่งขึ้น และยังปลอดภัยต่อบุตรในครรภ์ นอกจากนั้น จะเสนอสินค้าแก่กลุ่มโรงแรม รีสอร์ต เพื่อใช้เป็นหมอนสุขภาพสำหรับแขกที่เข้าพัก...
โทร.0-2872-5457 หรือ www.mrbigpillow.com



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 2 พฤษภาคม 2555 10:22 น.

ปลุกชีพถุงข้าวสาร แจ้งเกิด DEE RICH กระเป๋าดีไซน์โดน

ถุงพลาสติกใส่ข้าวสารไร้ค่า ถูกนำกลับมารีไซเคิลให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง ด้วยการใส่ไอเดียสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์กระเป๋าสุดเก๋ มีทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าหิ้ว กระเป๋าลากสำหรับเดินทาง ฯลฯ จนสามารถก้าวสู่สินค้าระดับส่งออก ภายใต้แบรนด์ ‘DEE RICH’ 
                                                       ฐิติมา ฉิมมณี
ฐิติมา ฉิมมณี ผู้แจ้งเกิดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว บอกเล่าว่า ด้วยข้อดีของถุงพลาสติกใส่ข้าวสาร ที่มีความแข็งแรงคงทน เพราะทำมาจากเม็ดพลาสติกอย่างดี รวมถึง มีลวดลายและสีสันสวยงาม นอกจากนั้น ยังเข้ากับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดไอเดียนำมาใช้เป็นวัสดุทำผลิตภัณฑ์กระเป๋า
 “ถุงพลาสติกใส่ที่นำมาใช้ผลิตนั้น เราจะคัดเฉพาะถุงที่ทำจากเมล็ดพลาสติกนำเข้า เพราะต้องการได้เนื้อวัสดุที่มีคุณภาพดี จึงได้กระเป๋าในงานที่ใช้วัตถุดิบที่เป็นเกรดส่งออก สินค้าจึงมีความคงทนแข็งแรง เหนียว และรับน้ำหนักในการบรรจุได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าที่ผลิต ได้แก่ กระเป๋าใส่ของทั่วๆ ไป หลากหลายขนาดและหลากสไตล์” ฐิติมา ระบุ
 สำหรับที่มาของดีไซน์ส่วนหนึ่ง เกิดจากแนวคิดตัวเองและรวมถึงคำแนะนำจากลูกค้า ซึ่งผลิตภัณฑ์ผ่านการตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน ข้างในมีการบุฟองน้ำเพื่อให้เกิดความนุ่มในการใช้งานและเพิ่มความสวยงาม รวมถึงการออกแบบสายกระเป๋า ใช้วัสดุแบบไทยๆ อย่างผ้าขาวม้ามาทำ เพราะต้องการสื่อถึงสินค้าฝีมือคนไทย หรือสานสายพลาสติก ขอบกระเป๋าก็มีการเย็บขอบเก็บรายละเอียดอย่างสวยงาม
 เจ้าของไอเดีย ระบุด้วยว่า ใช้เงินลงทุนก้อนแรกแค่หลักพันบาทเท่านั้น วัสดุถุงพลาสติกจะรับซื้อจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ถุงพลาสติก เมื่อได้ถุงพลาสติกมาแล้ว จะเข้าขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่ทำความสะอาดถุง ล้าง เช็ค และตากแห้ง จากนั้น ตัดถุงขึ้นรูปเป็นทรงกระเป๋าตามที่ต้องการ แล้วส่งต่อไปยังช่าง ทำหน้าที่เย็บให้เป็นกระเป๋า ซึ่งขั้นตอนการทำกระเป๋า ส่วนใหญ่เป็นงานทำมือ
“ลวดลายของกระเป๋าเกิดจากลายถุงซึ่งรูปแบบไม่ซ้ำ และการตัดเย็บที่นี่ชิ้นงานโดยส่วนใหญ่เป็นงานแฮนด์เมด โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่ชื่นชอบงานไอเดีย ไม่ซ้ำใคร และเป็นงานแฮนด์เมด” เจ้าของไอเดียระบุ
ด้วยความแปลกแหวกแนว สินค้าแบรนด์ ‘DEE RICH’ มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย สินค้ามีรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ขายความมีเอกลักษณ์และเข้าถึงลูกค้าง่ายๆ โดยไม่ต้องอธิบาย ดีไซน์มีทั้งกระเป๋าใส่เงิน กระเป๋าสะพาน กระเป๋าใส่ซีดี กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ค กระเป๋าลาก ฯลฯ กำหนดราคาสินค้าเริ่มต้นที่ชิ้นละ 60-350 บาท ผ่านช่องทางขาย โดยออกงานแสดงสินค้า และมีหน้าร้านที่ตลาดสวนจตุจักร โครงการ 25 ซอย 3/5 ห้อง 299-300 โทร.08-9774-2400 หรือที่ร้านติ๊บ-ตี่ จ.เชียงใหม่ และเว็บไซต์ www.deerich.com



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th




วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตะลึง...คนเป็นเห็นคนตาย ที่ศิริราช


                                                 

                                                         พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


บางครั้งคนตายก็มีประโยชน์กว่าคนเป็นบางคน เพราะพวกเขาได้บริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาเรียนรู้
       ดังนั้นในทริปนี้ฉันจึงมุ่งหน้าไปดูคนตายที่กลายเป็นครูให้นักศึกษาแพทย์ รวมถึงเราๆท่านๆได้ศึกษาเรียนรู้ และตื่นตะลึงไปกับความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ที่ “พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน” โรงพยาบาลศิริราช โดยมี คุณนันท์นภัส ปฐพีธนวิทย์ เจ้าหน้าที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ เป็นผู้นำชมและบรรยายให้ฟัง


                                          ตู้แสดงอวัยวะรับสัมผัสพิเศษ


   คุณนันท์นภัสเล่าว่า ในสมัยช่วงแรกๆ ประมาณ พ.ศ.2466 ศิริราชได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการเรียนการสอนที่ศิริราชในหลากหลายสาขาวิชา หนึ่งในนั้นคือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้ส่งคนมาวางแผนสร้างตึก และต่อมาได้ส่ง ศาสตราจารย์ คองดอน (E.D. Congdon) มาเขียนตำรา เตรียมอุปกรณ์การสอน มาชำแหละอาจารย์ใหญ่ ส่วนต่างๆของร่างกายและระบายสีหลอดเลือดเส้นประสาทด้วยวิธี Albuminous paint ซึ่งสามารถเก็บในแอลกอฮอล์ และจัดห้องไว้สำหรับทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดทำการอย่างจริงจังในปี พ.ศ.2491


                                        ตู้แสดงระบบหลอดเลือดแดง กล้ามเนื้อและหลอดเลือดดำ และระบบประสาท


   นอกจากนี้คุณนันท์นภัสได้พูดถึงการเรียนกายวิภาคศาสตร์ว่า “เป็นการเรียนเรื่องการเป็นปกติของอวัยวะมนุษย์ เรียนเพื่อให้รู้ว่าอวัยวะนี้กำเนิดขึ้นมาจากไหน มีรูปพรรณสัณฐานที่ตั้งอย่างไร มีอวัยวะอะไรอยู่ใกล้ๆกัน เราจะเรียนให้รู้ว่าอวัยวะนี้เจริญมาจากเนื้อเยื้ออย่างไร พอเราเรียนแล้วรู้ว่าอวัยวะนี้เกิดขึ้นมาแบบนี้ พอโตขึ้นมามันจะอยู่ตรงไหน แล้วดูให้เห็นก่อนด้วยการชำแหละออกมาดู"
       “ต่อจากนั้นถ้าเราอยากรู้ว่าเนื้อเยื่อที่มาประกอบเป็นอวัยวะนี้มันเป็นลักษณะเซลล์อย่างไร เราก็เอาอวัยวะนั้นมาหั่น มาตัดให้บางด้วยมีด แล้วมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ให้เห็นความแตกต่างของเซลล์ด้วยการย้อมสี อีกอย่างคือดูว่าอวัยวะนั้นมีความสัมพันธ์กันกับอวัยวะข้างเคียงอย่างไร"



                                         ตู้จัดแสดงการเจริญเติบโตของทารก


 “นอกเหนือจากมันมีหลอดเลือด มีเส้นประสาทอะไรมาสนับสนุน ถ้าอวัยวะนี้มีความผิดปกติของการเจริญ เราต้องอธิบายให้ได้ว่าความผิดปกติเกิดที่ขั้นตอนใดของการเจริญเติบโต จะส่งผลอย่างไร เกิดความพิการแบบไหน ถ้าเกิดในระบบประสาท สมองส่วนนี้มีความผิดปกติมันจะสะท้อนท่าทางหรือลักษณะของร่างกายออกมาอย่างไร”
     เอาล่ะ เมื่อรู้พอสังเขปแล้วว่ากายวิภาคศาสตร์เขาเกี่ยวกับอะไรบ้าง ก็ได้เวลาเข้าไปเห็นของจริงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ห้อง ด้วยกัน ห้องแรกได้แก่ “ห้องกายวิภาคศาสตร์ทั่วไป” จัดแสดงระบบอวัยวะร่างกายของคนทุกระบบ จัดแสดงอวัยวะที่เป็นปกติ และความพิเศษหรือความหลากหลายทางกายวิภาคศาสตร์ ของที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นของจริงที่ได้จากการบริจาค เป็นเต็มตัวก็มี ชิ้นส่วนอวัยวะก็มี


                                          การเจริญเติบโตตั้งแต่ในครรภ์จนคลอด
   
   แต่บางอย่างถ้าเล็กเกินไป เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ อวัยวะเล็กๆ เราจะศึกษาด้วยหุ่นจำลองก่อน อย่างหูชั้นในเป็นส่วนที่สำคัญ ส่วนก้นหอยเป็นส่วนของการรับเสียงการได้ยิน ส่วนที่เป็นท่อครึ่งวงกลม3ท่อเป็นส่วนของการทรงตัว ซึ่งมันเล็กมาก ดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น เราต้องศึกษาเป็น 3 มิติคู่กัน

    โดยตู้ที่จัดแสดงเริ่มตั้งแต่ ตู้แสดงเรื่องของ “อวัยวะรับสัมผัสพิเศษ” ได้แก่ พวกตา หู จมูก ลิ้น และตู้สุดท้ายของแถวแรกเป็นเรื่องของการแสดง “การเจริญเติบโตของใบหน้าและฟัน” เรื่องความผิดปกติของการเจริญบนใบหน้าพบบ่อยมาก ผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด เช่น พวกปากแหว่งเพดานโหว่


                                           แสดงหน้าที่ชำแหละและระบายสีให้เห็นกล้ามเนื้อ หลอดเลือดแดงดำ ประสาทกับต่อมน้ำลายและน้ำเหลือง

    ตู้แถวที่สองเป็นเรื่องของ “ระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด” ตั้งแต่พัฒนาการของระบบสัตว์ ว่าพัฒนามาจากเนื้อเยื่ออะไร สัปดาห์ที่เท่านี้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วท้ายที่สุดเจริญไปเป็นสมองทั้งก้อนอย่างไร แล้วสมองทั้งก้อนแบ่งพื้นที่อย่างไร เรียกว่าอะไรบ้าง เราใช้สัตว์มาใช้ในการเปรียบเทียบกับคน สัตว์ที่ใกล้เคียงกับคนเราคือสัตว์มีกระดูกสันหลัง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตรงส่วนนี้มีสมองของสัตว์มาให้ดูเปรียบเทียบกันด้วยได้แก่ กระต่าย แมว สุนัข ชะนี
   และที่พลาดไม่ได้คือ 3 ตู้ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ ระบบหลอดเลือดแดงทั้งร่างกาย, กล้ามเนื้อและหลอดเลือดดำ และระบบประสาททั้งร่างกาย ซึ่งผลงานชิ้นเด่นๆนี้ถูกชำแหละโดย รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเพทาย ศิริการุณ ซึ่งเป็นสิ่งแสดงทางกายวิภาคที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกก็ว่าได้


                                                       แฝดแบบต่างๆ


   ต่อไปเป็นตู้จัดแสดง “การเจริญเติบโตของทารก” แสดงการเจริญเติบโตตามอายุตั้งแต่เอ็มบริโอ (Embryo) ขนาดเล็ก ทารกในครรภ์ จนถึงคลอด รวมถึงมดลูกและรก
    ถัดไปเป็น “โครงกระดูกของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร” อ.หมอสุดเป็นนักเรียนแพทย์ของศิริราช ท่านเรียนเก่งมากจนได้เป็นครูผู้ช่วยของ อ.คองดอน พอเรียนจบแล้วได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก โดยเรียนวิชาแพทย์และเรียนวิชาการทำสื่อการเรียนการสอน เรียนว่าโมเดลทำอย่างไร สไลด์ลูกไก่ทำอย่างไร


                                          ตู้แสดงร่างกายตัดขวางตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า


ต่อด้วย “ตู้เด็กที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด” ชนิดต่างๆ และเรื่องของ “ฝาแฝด” โดยฝาแฝดที่รู้จักกันมี 2 แบบ คือ แฝดที่มาจากไข่ใบเดียวกัน หรือแฝดแท้ มีโครโมโซมเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน เพศเดียวกัน กับแฝดที่มาจากไข่คนละใบ โครโมโซมไม่เหมือนกัน หน้าตาไม่เหมือนกัน คนละเพศก็ได้ ถ้าตัวอ่อนเจริญช้า แยกออกจากกันช้า มีบางส่วนซ้อนทับกันอยู่ แม่จะได้ลูกอ่อนที่ตัวติดกัน ซึ่งติดกันได้ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงก้น และมีแฝดสยามหรืออิน-จัน ด้วย


                                         ร่างกายตัดขวางหนาประมาณ 1 นิ้ว


   นอกจากนี้ยังมีตู้แสดงอวัยวะภายในร่างกายเรา ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบน้ำเหลือง ต่อมต่างๆ ตู้แสดงร่างกายตัดขวางตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เพื่อดูอวัยวะที่อยู่ในระนาบเดียวกัน ตัดหนาประมาณ 1 นิ้ว ดูว่าในแต่ละระดับที่ตัดผ่านอวัยวะอะไรบ้าง ซึ่งใช้ประโยชน์มากใน C.T. Scan ด้วย
    ส่วนอีกหนึ่งห้องที่อยู่ติดกันคือ “ห้องกระดูกและข้อ” แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับกระดูกทุกชิ้นของร่างกาย รวมทั้งกะโหลกซึ่งแยกเป็นชิ้นๆ แสดงส่วนประกอบของกระดูก การคาดคะเนอายุจากกระดูก แสดงกระดูกที่ผิดปกติเนื่องจากความผิดปกติของสารที่หลั่งจากต่อมไร้ท่อ แสดงข้อต่อชนิดต่างๆของร่างกาย


                                         แสดงกระดูกและข้อต่อ


   นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของบุคคลสำคัญในวงการแพทย์แสดงอยู่ด้วย เช่น อาจารย์หมอโกศล กันตะบุตร, พระยาศราภัยพิพัฒ, พระยาอุปกิตศิลปสาร ซึ่งท่านเป็นผู้บริจาคร่างกายคนแรก เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของศิริราช ท่านเหล่านี้เมื่อก่อนใช้เรียนจริงๆ กระดูกอาจารย์ถูกจับถูกเรียนมาเยอะ เมื่อมีคนบริจาคเยอะขึ้น และอาจารย์เป็นบุคคลสำคัญ เราจึงเชิญอาจารย์มาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้


                                                       โครงกระดูกของบุคคลต่างๆที่มีความสำคัญในวงการแพทย์
   
   เมื่อชมพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอนเสร็จแล้ว ทำให้เรารู้จักร่างกายของเราเองมากขึ้นสมกับชื่อของพิพิธภัณฑ์โดยแท้ ใครที่สนใจก็สามารถมาชมมาเห็นของจริงๆด้วยตาตนเองได้ ซึ่งนอกจากนี้ศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์ประวัติการแพทย์ไทย อวย เกตุสิงห์, พิพิธภัณฑ์และห้องปฏิบัติการเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ สุด แสงวิเชียร ซึ่งฉันขอเก็บไว้นำเสนอในครั้งต่อๆไป...
   “พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 อาคารกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ถ.พรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 9.00-16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ อัตราค่าเข้าชม(ทั้ง 6 พิพิธภัณฑ์ของศิริราช) คนไทย 20 บ. ชาวต่างชาติ 40 บ. เด็ก, นักเรียน และภิกษุ ชมฟรี สอบถามโทร. 0-2419-6363


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 15 พฤษภาคม 2555 15:53 น.