วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตะลึง...คนเป็นเห็นคนตาย ที่ศิริราช


                                                 

                                                         พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


บางครั้งคนตายก็มีประโยชน์กว่าคนเป็นบางคน เพราะพวกเขาได้บริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาเรียนรู้
       ดังนั้นในทริปนี้ฉันจึงมุ่งหน้าไปดูคนตายที่กลายเป็นครูให้นักศึกษาแพทย์ รวมถึงเราๆท่านๆได้ศึกษาเรียนรู้ และตื่นตะลึงไปกับความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ที่ “พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน” โรงพยาบาลศิริราช โดยมี คุณนันท์นภัส ปฐพีธนวิทย์ เจ้าหน้าที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ เป็นผู้นำชมและบรรยายให้ฟัง


                                          ตู้แสดงอวัยวะรับสัมผัสพิเศษ


   คุณนันท์นภัสเล่าว่า ในสมัยช่วงแรกๆ ประมาณ พ.ศ.2466 ศิริราชได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการเรียนการสอนที่ศิริราชในหลากหลายสาขาวิชา หนึ่งในนั้นคือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งทางมูลนิธิฯได้ส่งคนมาวางแผนสร้างตึก และต่อมาได้ส่ง ศาสตราจารย์ คองดอน (E.D. Congdon) มาเขียนตำรา เตรียมอุปกรณ์การสอน มาชำแหละอาจารย์ใหญ่ ส่วนต่างๆของร่างกายและระบายสีหลอดเลือดเส้นประสาทด้วยวิธี Albuminous paint ซึ่งสามารถเก็บในแอลกอฮอล์ และจัดห้องไว้สำหรับทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดทำการอย่างจริงจังในปี พ.ศ.2491


                                        ตู้แสดงระบบหลอดเลือดแดง กล้ามเนื้อและหลอดเลือดดำ และระบบประสาท


   นอกจากนี้คุณนันท์นภัสได้พูดถึงการเรียนกายวิภาคศาสตร์ว่า “เป็นการเรียนเรื่องการเป็นปกติของอวัยวะมนุษย์ เรียนเพื่อให้รู้ว่าอวัยวะนี้กำเนิดขึ้นมาจากไหน มีรูปพรรณสัณฐานที่ตั้งอย่างไร มีอวัยวะอะไรอยู่ใกล้ๆกัน เราจะเรียนให้รู้ว่าอวัยวะนี้เจริญมาจากเนื้อเยื้ออย่างไร พอเราเรียนแล้วรู้ว่าอวัยวะนี้เกิดขึ้นมาแบบนี้ พอโตขึ้นมามันจะอยู่ตรงไหน แล้วดูให้เห็นก่อนด้วยการชำแหละออกมาดู"
       “ต่อจากนั้นถ้าเราอยากรู้ว่าเนื้อเยื่อที่มาประกอบเป็นอวัยวะนี้มันเป็นลักษณะเซลล์อย่างไร เราก็เอาอวัยวะนั้นมาหั่น มาตัดให้บางด้วยมีด แล้วมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ให้เห็นความแตกต่างของเซลล์ด้วยการย้อมสี อีกอย่างคือดูว่าอวัยวะนั้นมีความสัมพันธ์กันกับอวัยวะข้างเคียงอย่างไร"



                                         ตู้จัดแสดงการเจริญเติบโตของทารก


 “นอกเหนือจากมันมีหลอดเลือด มีเส้นประสาทอะไรมาสนับสนุน ถ้าอวัยวะนี้มีความผิดปกติของการเจริญ เราต้องอธิบายให้ได้ว่าความผิดปกติเกิดที่ขั้นตอนใดของการเจริญเติบโต จะส่งผลอย่างไร เกิดความพิการแบบไหน ถ้าเกิดในระบบประสาท สมองส่วนนี้มีความผิดปกติมันจะสะท้อนท่าทางหรือลักษณะของร่างกายออกมาอย่างไร”
     เอาล่ะ เมื่อรู้พอสังเขปแล้วว่ากายวิภาคศาสตร์เขาเกี่ยวกับอะไรบ้าง ก็ได้เวลาเข้าไปเห็นของจริงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ห้อง ด้วยกัน ห้องแรกได้แก่ “ห้องกายวิภาคศาสตร์ทั่วไป” จัดแสดงระบบอวัยวะร่างกายของคนทุกระบบ จัดแสดงอวัยวะที่เป็นปกติ และความพิเศษหรือความหลากหลายทางกายวิภาคศาสตร์ ของที่จัดแสดงส่วนใหญ่เป็นของจริงที่ได้จากการบริจาค เป็นเต็มตัวก็มี ชิ้นส่วนอวัยวะก็มี


                                          การเจริญเติบโตตั้งแต่ในครรภ์จนคลอด
   
   แต่บางอย่างถ้าเล็กเกินไป เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ อวัยวะเล็กๆ เราจะศึกษาด้วยหุ่นจำลองก่อน อย่างหูชั้นในเป็นส่วนที่สำคัญ ส่วนก้นหอยเป็นส่วนของการรับเสียงการได้ยิน ส่วนที่เป็นท่อครึ่งวงกลม3ท่อเป็นส่วนของการทรงตัว ซึ่งมันเล็กมาก ดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น เราต้องศึกษาเป็น 3 มิติคู่กัน

    โดยตู้ที่จัดแสดงเริ่มตั้งแต่ ตู้แสดงเรื่องของ “อวัยวะรับสัมผัสพิเศษ” ได้แก่ พวกตา หู จมูก ลิ้น และตู้สุดท้ายของแถวแรกเป็นเรื่องของการแสดง “การเจริญเติบโตของใบหน้าและฟัน” เรื่องความผิดปกติของการเจริญบนใบหน้าพบบ่อยมาก ผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด เช่น พวกปากแหว่งเพดานโหว่


                                           แสดงหน้าที่ชำแหละและระบายสีให้เห็นกล้ามเนื้อ หลอดเลือดแดงดำ ประสาทกับต่อมน้ำลายและน้ำเหลือง

    ตู้แถวที่สองเป็นเรื่องของ “ระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด” ตั้งแต่พัฒนาการของระบบสัตว์ ว่าพัฒนามาจากเนื้อเยื่ออะไร สัปดาห์ที่เท่านี้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วท้ายที่สุดเจริญไปเป็นสมองทั้งก้อนอย่างไร แล้วสมองทั้งก้อนแบ่งพื้นที่อย่างไร เรียกว่าอะไรบ้าง เราใช้สัตว์มาใช้ในการเปรียบเทียบกับคน สัตว์ที่ใกล้เคียงกับคนเราคือสัตว์มีกระดูกสันหลัง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตรงส่วนนี้มีสมองของสัตว์มาให้ดูเปรียบเทียบกันด้วยได้แก่ กระต่าย แมว สุนัข ชะนี
   และที่พลาดไม่ได้คือ 3 ตู้ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ ระบบหลอดเลือดแดงทั้งร่างกาย, กล้ามเนื้อและหลอดเลือดดำ และระบบประสาททั้งร่างกาย ซึ่งผลงานชิ้นเด่นๆนี้ถูกชำแหละโดย รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเพทาย ศิริการุณ ซึ่งเป็นสิ่งแสดงทางกายวิภาคที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกก็ว่าได้


                                                       แฝดแบบต่างๆ


   ต่อไปเป็นตู้จัดแสดง “การเจริญเติบโตของทารก” แสดงการเจริญเติบโตตามอายุตั้งแต่เอ็มบริโอ (Embryo) ขนาดเล็ก ทารกในครรภ์ จนถึงคลอด รวมถึงมดลูกและรก
    ถัดไปเป็น “โครงกระดูกของศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร” อ.หมอสุดเป็นนักเรียนแพทย์ของศิริราช ท่านเรียนเก่งมากจนได้เป็นครูผู้ช่วยของ อ.คองดอน พอเรียนจบแล้วได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก โดยเรียนวิชาแพทย์และเรียนวิชาการทำสื่อการเรียนการสอน เรียนว่าโมเดลทำอย่างไร สไลด์ลูกไก่ทำอย่างไร


                                          ตู้แสดงร่างกายตัดขวางตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า


ต่อด้วย “ตู้เด็กที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด” ชนิดต่างๆ และเรื่องของ “ฝาแฝด” โดยฝาแฝดที่รู้จักกันมี 2 แบบ คือ แฝดที่มาจากไข่ใบเดียวกัน หรือแฝดแท้ มีโครโมโซมเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน เพศเดียวกัน กับแฝดที่มาจากไข่คนละใบ โครโมโซมไม่เหมือนกัน หน้าตาไม่เหมือนกัน คนละเพศก็ได้ ถ้าตัวอ่อนเจริญช้า แยกออกจากกันช้า มีบางส่วนซ้อนทับกันอยู่ แม่จะได้ลูกอ่อนที่ตัวติดกัน ซึ่งติดกันได้ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงก้น และมีแฝดสยามหรืออิน-จัน ด้วย


                                         ร่างกายตัดขวางหนาประมาณ 1 นิ้ว


   นอกจากนี้ยังมีตู้แสดงอวัยวะภายในร่างกายเรา ระบบหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบน้ำเหลือง ต่อมต่างๆ ตู้แสดงร่างกายตัดขวางตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เพื่อดูอวัยวะที่อยู่ในระนาบเดียวกัน ตัดหนาประมาณ 1 นิ้ว ดูว่าในแต่ละระดับที่ตัดผ่านอวัยวะอะไรบ้าง ซึ่งใช้ประโยชน์มากใน C.T. Scan ด้วย
    ส่วนอีกหนึ่งห้องที่อยู่ติดกันคือ “ห้องกระดูกและข้อ” แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับกระดูกทุกชิ้นของร่างกาย รวมทั้งกะโหลกซึ่งแยกเป็นชิ้นๆ แสดงส่วนประกอบของกระดูก การคาดคะเนอายุจากกระดูก แสดงกระดูกที่ผิดปกติเนื่องจากความผิดปกติของสารที่หลั่งจากต่อมไร้ท่อ แสดงข้อต่อชนิดต่างๆของร่างกาย


                                         แสดงกระดูกและข้อต่อ


   นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกของบุคคลสำคัญในวงการแพทย์แสดงอยู่ด้วย เช่น อาจารย์หมอโกศล กันตะบุตร, พระยาศราภัยพิพัฒ, พระยาอุปกิตศิลปสาร ซึ่งท่านเป็นผู้บริจาคร่างกายคนแรก เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของศิริราช ท่านเหล่านี้เมื่อก่อนใช้เรียนจริงๆ กระดูกอาจารย์ถูกจับถูกเรียนมาเยอะ เมื่อมีคนบริจาคเยอะขึ้น และอาจารย์เป็นบุคคลสำคัญ เราจึงเชิญอาจารย์มาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้


                                                       โครงกระดูกของบุคคลต่างๆที่มีความสำคัญในวงการแพทย์
   
   เมื่อชมพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอนเสร็จแล้ว ทำให้เรารู้จักร่างกายของเราเองมากขึ้นสมกับชื่อของพิพิธภัณฑ์โดยแท้ ใครที่สนใจก็สามารถมาชมมาเห็นของจริงๆด้วยตาตนเองได้ ซึ่งนอกจากนี้ศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์ประวัติการแพทย์ไทย อวย เกตุสิงห์, พิพิธภัณฑ์และห้องปฏิบัติการเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ สุด แสงวิเชียร ซึ่งฉันขอเก็บไว้นำเสนอในครั้งต่อๆไป...
   “พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ คองดอน” ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 อาคารกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ถ.พรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 9.00-16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ อัตราค่าเข้าชม(ทั้ง 6 พิพิธภัณฑ์ของศิริราช) คนไทย 20 บ. ชาวต่างชาติ 40 บ. เด็ก, นักเรียน และภิกษุ ชมฟรี สอบถามโทร. 0-2419-6363


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 15 พฤษภาคม 2555 15:53 น.


ถอดรหัสต่างชาติชอบงานหัตถกรรมไทย

                                         ผลงานหัตถกรรมไทยได้รับโอกาสไปแสดงในงาน International Handicraft Fair ครั้งที่ 76 ที่เมืองปลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

โดย..สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์
       
       ไม่แปลกใจที่เมืองไทยเสนอวัฒนธรรมให้ออกสู่สายตาชาวต่างชาติน้อยกว่าที่ควร เพราะขนาดจะอนุรักษ์กันภายในประเทศ ยังเป็นเรื่องยาก อย่างสงกรานต์ที่ผ่านมา ก็สะท้อนว่า วัฒนธรรมที่ดีงามของไทยเพี้ยนไปมากขนาดไหน ต่างจากต่างชาติที่พยายามอนุรักษ์วัฒนธรรมของตนอย่างเต็มที่ และพยายามป้อนวัฒนธรรมเขาเข้ามาอยู่เสมอ อย่างประเทศเกาหลี ที่จัดหนักทั้งซีรีส์ เพลง และศิลปิน จนเกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์ในเมืองไทยไปพักหนึ่ง
       แต่เห็นจะต้องยกเว้นงานหัตถกรรมไทยไว้อย่างหนึ่ง เพราะล่าสุดประเทศไทยมีโอกาสได้ไปร่วมงานจัดแสดงสินค้าหัตถกรรมนานาชาติที่ประเทศอิตาลี ทั้งหุ่นกระบอก หัวโขน ผ้าย้อมคราม การเขียนลายทอง ฯลฯ ได้ไปประกาศความงดงามของวัฒนธรรมไทยให้ฝรั่งได้รู้จักเพิ่มมากขึ้น ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่า เพราะอะไรชาวต่างชาติถึงชื่นชอบวัฒนธรรมไทย และงานหัตถกรรมแบบไทยๆ กันนัก แล้วในฐานะเจ้าของผลงานควรที่จะต้องปรับตัวอย่างไรกับกระแสความนิยมงานหัตถกรรมไทยที่เพิ่มมากขึ้น
       


       รุกก่อนได้เปรียบ
       
       ว่ากันว่า ที่เหล่าฝรั่งตาน้ำข้าวชื่นชอบในงานหัตถกรรมไทย เพราะงานมีจุดแข็งในเรื่องการใช้วัสดุธรรมชาติ กระบวนการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งกำลังเป็นกระแสความนิยมของทั้งโลก อย่างงานฝีมือประเภทผ้าทอ ซึ่งใช้วิธีการย้อมสีธรรมชาติ จะยิ่งดึงดูดความสนใจของชาวต่างชาติได้มาก และทำให้ขายออกได้ง่ายขึ้น
       แต่ถ้าพูดในแง่ของขั้นตอนการทำชิ้นงาน ฐิติมา ตันติพานิชย์ ผู้จัดการส่งออกร้านลายทอง บอกว่า งานหัตถกรรมไทยมีความละเอียดละออมาก การประดิษฐ์งานแต่ละชิ้นต้องอาศัยความอดทนสูง ทำให้งานหัตถกรรมไทยมีความคุ้มค่าแก่การซื้อไปเป็นของที่ระลึก เป็นของตกแต่งบ้านและตกแต่งร้าน แต่ประเด็นสำคัญจริงๆ คือ การทำงานเชิงรุกของผู้ประกอบการ ที่ต้องเป็นฝ่ายนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของงานหัตถกรรมชิ้นนั้น แทนการรอให้เขาเข้ามาถาม


       
       “การที่ฝรั่งจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นงานหัตถกรรมไทยสักชิ้น เขาจะสนใจเรื่องราว หรือสตอรี ในตัวชิ้นงานนั้นมาก ฉะนั้น เมื่อหยิบงานขึ้นมาหนึ่งชิ้นต้องสามารถพรีเซนต์ได้ว่า งานชิ้นนี้ทำมาจากอะไร ได้ไอเดียมาอย่างไร วัสดุทำมาจากไหน มีความหมายอะไร เช่น ช้างเขียนลายทองชิ้นนี้ทำมาจากไม้ มีการลงยางรักกี่ครั้ง ทิ้งไว้นานเท่าไหร่ แล้วจึงนำมาเขียนลายโดยการใช้สีกรวย แล้วช้างเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย แสดงถึงความโชคดี พอลูกค้าชาวต่างชาติฟังข้อมูลประมาณนี้ก็จะชอบและซื้อกลับไป ซึ่งง่ายกว่าการวางขายเฉยๆ โดยไม่พรีเซนต์อะไร”
       การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นับเป็นการปูทางไปสู่ความนิยมในตัวงานหัตถกรรมไทย อย่างการพาชมกระบวนการผลิต และอธิบายแต่ละขั้นตอนการทำ จะแสดงให้เห็นถึงความอดทนของช่างฝีมือ ที่ต้องอาศัยความละเอียดละออของงานหัตถกรรมไทย ความประทับใจจะบังเกิดขึ้นเป็นความชื่นชอบ หากมีการซื้อชิ้นงานกลับประเทศไปก็จะเกิดการบอกต่ออีกทอดหนึ่ง ทำให้งานหัตถกรรมไทยค่อนข้างเป็นที่ถูกใจและนิยมมากในต่างประเทศ
       


       เทคโนโลยีและภาษาช่วยได้
       
       อย่างที่บอก การให้ข้อมูลแก่ชาวต่างชาติเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้น การใช้สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นตัวเผยแพร่ข้อมูลงานหัตถกรรมไทยในยุคเทคโนโลยี จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งมีข้อมูลให้ค้นคว้ามากก็ยิ่งเป็นการเสนอภาพลักษณ์ความเป็นไทยให้เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ ต้องนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ
       ฉะนั้น ผู้ประกอบการแต่ละรายต้องเริ่มปรับตัวเองให้เข้ากับโลกสมัยใหม่มากขึ้น เว็บไซต์ของผู้ประกอบการงานหัตถกรรมหลายรายก็เริ่มมีการนำเสนอข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แม้แต่พนักงานหน้าร้านที่จะเสนอขายสินค้าก็ต้องมีการคัดเลือกอย่างจริงจังมากขึ้น จะมาไก่กาเฝ้าร้านขายของแบบส่งๆ อย่างเดียวไม่ได้แล้ว อย่างน้อยภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานต้องได้
        “พนักงานภายในร้านเราต้องคัดเลือกเป็นอย่างดี คือ ภาษาอังกฤษพื้นฐานต้องได้ แล้วนำมาฝึกเพิ่มให้ต่อ เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี พอมีพนักงานใหม่ๆเข้ามามากพอสมควรก็จะนัดอาจารย์ด้านภาษามาช่วยสอนให้ เขาก็จะพรีเซนต์สินค้าเป็นภาษาต่างประเทศได้” ฐิติมา ระบุ
       


       เปลี่ยนคู่ค้ามาเป็นพาร์ตเนอร์
       
       จะเห็นได้ว่างานหัตถกรรมไทยมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น นั่นก็เพื่อความอยู่รอดในสังคมที่เปิดกว้าง นอกจากการปรับตัวแล้ว นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ ผอ.ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ (ศ.ศ.ป.) บอกว่า ถ้าอยากให้งานหัตถกรรมไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น ต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่เป็นการให้ความร่วมมือระหว่างกันมากกว่าที่จะแข่งขันกันเอง คือเปลี่ยนจากคู่แข่งให้เป็นพาร์ตเนอร์ เปลี่ยนให้เป็นเครือข่าย
      “หัตถกรรมไม่จำเป็นต้องมาแข่งกันขาย แต่ต้องช่วยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ใครมีเทคนิคอะไรก็แบ่งปันกัน นอกจากนั้น ยังต้องให้ความรู้เรื่องการตลาด ซึ่งทาง ศ.ศ.ป.ก็พยายามเร่งทำอยู่ คือ ต้องให้ผู้ประกอบการแต่ละรายมองออกว่างานหัตถกรรมไทยจะเข้าตลาดแบบไหนได้บ้าง ช่องทางการตลาดต้องเหมาะกับผู้ประกอบการ โดยทางหน่วยงานรัฐจะช่วยด้วยการพยายามหางานให้ผู้ประกอบการได้เข้าไปแสดงสินค้า เพื่อระบายของและพรีเซนต์ผลิตภัณฑ์ พรีเซนต์ประเทศไทย"
       


       โหมโฆษณาเยอะๆ จะดังเอง
       
       นายปราชญ์ นิยมค้า เจ้าของร้าน Mann Craft บอกว่า งานหัตกรรมไทยต้องทำงานเชิงรุกเหมือนโฆษณาทางทีวี คือ ให้เขาเห็นบ่อยๆ เขาถึงจำได้ จนเผลอไปซื้อมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้องใช้หลักการโฆษณา หมั่นไปจัดแสดงสินค้า ขัดโรดโชว์ให้เห็นประจำทุกเดือนก็ยังดี หรืออาจทำวิดีโอขั้นตอนการทำงานหัตถกรรมประเภทต่างๆอย่างละเอียด แล้วอัปโหลดขึ้นยูทิวบ์ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถช่วยได้ หลายหน่วยงานราชการต้องช่วยกัน และจะทำให้ประเทศไทยมีจุดแข็งเพิ่มขึ้นอีกอย่าง นอกจากมวยไทย และอาหารไทย ที่สร้างชื่อเสียงนำร่องให้ประเทศไปแล้ว อาจจะต้องมีการลงทุน อาจจะต้องเหนื่อย แต่ก็คุ้มกับสิ่งที่ทำไป
       

                                                    ฐิติมา ตันติพานิชย์


       "อยากให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในด้านไหน ก็พยายามโฆษณาบ่อยๆ สุดท้ายเราก็ดังในด้านนั้นๆ อย่างงานหัตถกรรมไทยก็มีโอกาสสร้างชื่อให้ประเทศไทย แต่อยู่ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น”...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 13:15 น.


วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ภูรีญา วิลล์ Phureeya Ville

12/12 หมู่ 6 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี 22140
โทร.087-1422800
Website: www.phureeyaville.com  Information: info@phueeyaville.com
  ภูรีญา วิลล์ Phureeya Ville
 ..... บ้านพักท่ามกลางขุนเขา และไอหมอก .... 
 รีสอร์ทคุณภาพ อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายตลอดปี ท่ามกลางวิวภูเขา 360 องศา  ดื่มกาแฟสดคุณภาพระดับประเทศ ฝีมือคนจันท์ (แบรนด์ร้อยตะวัน)  อิ่มอร่อยกับอาหารที่เลือกสรรไว้เพื่อคุณ  สะอาด สะดวก และปลอดภัยจากมลภาวะ
Phureeya Ville ภูรีญา วิลล์ บ้านพักท่ามกลางขุนเขา และไอหมอก โอโซนแห่งภาคตะวันออก ห่างจากตัวจังหวัดไป 35 กม. เป็นรีสอร์ท เปิดใหม่ เป็นธรรมชาติ สว่นตัว สะดวกครบครัน และปลอดภัย หากท่านต้องการธรรมชาติ และความเป็นส่วนตัว แวะมาที่ ภูรีญา วิลล์รีสอร์ท    มีบริการ ห้องพัก 8 หลัง (รองรับได้ 40 ท่าน) ซึ่งห้องพักตกแต่งสไตล์ทันสมัย ท่ามกลางขุนเขา และไอหมอก  และนอกจากนี้ยังมีบริการเต็นท์ เล่นแคมป์ไฟ    ห้องพักตกแด่งทันสมัย ไม่ซ้ำแบบ สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องปรับอากาศ / โทรทัศน์ LCD ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น และภายใน รีสอร์ท ยังมีกิจกรรม ชมสวนผลไม้ / ขี่จักรยานชมวิว -ออกกำลังกาย และรับสอนทำอาหาร สำหรับคุณแม่บ้านมือใหม่
  สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง : สัมผัสธรรมชาติน้ำตกเขาสอยดาว / ออกรอบที่สนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ / ชอปปิ้งที่ตลาดการค้าชายแดน / ผจญภัยล่องแก่ง ที่สนุกสนาน และปลอดภัย
 สำรองห้องพักได้ที่
Phureeya Ville Resort
 ภูรีญา วิลล์ รีสอร์ท
12/12 หมู่ 6 ตำบล ทับไทร
โทร.087-1422800 
www.phureeyaville.com
info@phureeyaville.com



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.chanforchan.com

บ้านสวนริมน้ำ โฮมสเตย์


บ้านสวนริมน้ำ โฮมสเตย์
27/23 หมู่ 8 ตำบลฉมัน อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี 22150
โทร.089-093-0144 ,0845482065




หมู่บ้าน"ทุ่งเพล" เป็นหมู่บ้านของชาวพื้นเมืองของจันทบุรี สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบโอบล้อมด้วยภูเขา ด้านข้างติดเขาคิชกูฏ ด้านหลังติดเขาสอยดาว ยังคงสภาพเดิมตามธรรมชาติอยู่มาก แวดล้อมด้วยลำคลองหลายสาย ภูมิอากาศเย็นสบายแบบตะวันออก ฤดูหนาวอากาศเย็นแบบทางภาคเหนือ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนผลไม้

          บ้านสวนริมน้ำ โฮมสเตย์ เป็นบ้านพักที่ปลูกอยู่ในสวนผลไม้ติดน้ำตก น้ำตกไหลผ่านบ้านพักทำให้เหมาะกับการพักผ่อนนอนดูน้ำตกจากบนบ้านอย่างใกล้ชิดเย็นสบายและลงเล่นน้ำเพียงก้าวลงบรรไดบ้านก็ถึงลำธารอันใสเย็นไหลกระทบหินจากที่สูงลงที่ต่ำเป็นลำดับทำให้มีเสียงไพเราะ

          บ้านพักตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกคือ เขาคิชกูฏ และเขาสอยดาวมีลำธารไหลผ่านมาบรรจบกันที่คลองทุ่งเพลทำให้มีน้ำตลอดปีไม่เคยแห้งจึงทำให้อากาศเย็นสบายตลอดปีช่วงเดือนธันวาถึงกุมพาอากาศเย็นเหมือนทางภาคเหนือช่วงเดือนมีนาถึงเมษาเหมาะกับการมาเล่นน้ำ เดือนพฤภาคมถึงกรกฏาคม ชมชิมผลไม้ตามฤดูกาลช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนชมน้ำตกอันสวยงามและป่าที่สงบ

          บ้านพักมีทั้งหมด 7 หลัง หลังแรกอยู่กับเจ้าของบ้านมีแอร์พัดลมพร้อมเหมาะสำหรับผู้ที่อยากมาสัมผัสชีวิตของชาวสวนอีก5หลัง เหมาะสำหรับผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวหรือกลุ่มเพื่อนฝูงรับผู้มาพักได้ถึง 80 คน  อัตราค่าที่พัก 600 / 700 บาทต่อ1ท่าน   พร้อมอาหาร2มื้อคือ อาหารเย็นและเช้าพร้อมกาแฟ










อัตราค่าที่พัก 500 / 600 บาทต่อ1ท่าน   พร้อมอาหาร2มื้อคือ อาหารเย็นและเช้าพร้อมกาแฟ
บ้านพักทั้งหมด7หลัง พร้อมที่ปิ้งย่างให้

**************************
อาหาร แกงหมูชะมวง ก๋วยเตี๋ยวผัดปู ต้มยำไก่กระวาน ผักปลอดสารพิษน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ผลไม้ตามฤดูกาลหรือจะเอาอาหารทะเลมาปิ้งย่างได้..มีที่ปิ้งให้ ถ้าต้องการเจาะจงเมนูอาหารกรุณาแจ้งล่วงหน้า
กรุณาโอนเงินค่าที่พัก
ชื่อบัญชี : นาย นฤทธิ์  ผลพฤกษา
เลขที่บัญชี : 5142325837
ธนาคาร ไทยพานิชย์ สาขาจันทบุรี
กิจกรรม :          ·   ขี่จักรยาน เดินป่า เล่นน้ำตก ชมนกชมไม้ศึกษาธรรมชาติคลองทุ่งเพล
          ·   เรียนรู้ มีส่วนร่วมวัฒนธรรมประเพณี ของชาวบ้าน   ไปวัดทำบุญ ปฏิบัติธรรม
          ·   ชิมผลไม้ปลอดสารพิษตามฤดูกาลจากสวน สัมผัส เรียนรู้เทคนิคชาวสวนผสมผสานเกษตรอินทรีย์พึ่งพาตนเอง แบบคนจันท์เมืองผลไม้
 
 สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ :
          ·   วัดเขาบรรจบ วัดที่คงสภาพของป่าธรรมชาติไว้อย่างกลมกลืน
          ·   น้ำตกอ่างเบง สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของจันทบุรี
          ·   เขื่อนทุ่งเพล แหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร แหล่งจ่ายน้ำของภาคตะวันออกและผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ
          ·   ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิต จันทบุรี แหล่งสนับสนุนวิชาการด้านการเกษตรหลักของจันทบุรี โดยเฉพาะการปลูกยางพารา



                                                         น้ำตกอ่างเบง
    

                                                         วัดเขาบรรจบ


                                                          เขื่อนทุ่งเพล




การเดินทาง :
           
จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางบางนา-ตราด    ก่อนถึงชลบุรีเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลี่ยงเมืองชลฯ จนถึงสี่แยกไปบ้านบึง เลี้ยวซ้ายไปจันทบุรี หรือใช้มอเตอร์เวย์ ผ่านด่านพานทอง ออกทางซ้ายไปบ้านบึง ก่อนถึงบ้านบึงมีทางยกระดับข้ามแยกไปจันทบุรี เดินทางตามเส้นทางถนน 344 ไปจนถึงถนนสุขุมวิทเดิม (สามแยกแกลง) เลี้ยวซ้ายไปจันทบุรี เดินทางตามถนนสุขุมวิทไปเรื่อยๆจนถึงสามแยกปากแซง (ถนน  317  จันทบุรี – สระแก้ว) ก็เลี้ยวซ้ายไปตามถนน 317 เดินทางผ่านอำเภอมะขาม ผ่านทางแยกขวามือไปเขื่อนคีรีธาร ผ่านบ้านโป่งโรงเซ็น หลังจากผ่านสะพานข้ามคลองโป่งโรงเซ็นจะมีทางแยกซ้ายมือมีป้ายทางเข้าวัดเขา บรรจบ เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามเส้นทางนี้ (ดูแผนที่) ประมาณ 10 กิโลเมตร ก็ถึง “บ้านทุ่งเพล โฮมสเตย์”




***  ราคาค่าที่พัก  ***
วันจันท์ - วันศุกร์ 500 - 600
วันเสาร์ - วันอาทิตย์ 600 - 700
จองห้องพัก กรุณามัดจำ 50%


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.chanforchan.com

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เตาปูน บิสโทร ร้านเล็ก...เล็ก แต่อาหารรสชาติใหญ่

                                          “พิช แอนด์ ชิปส์” ฝีมือนักเรียนอังกฤษ


“เตาปูน บิสโทร” (TAOPOON BISTRO) ร้านเล็ก...เล็ก แต่อาหารรสชาติใหญ่ / สันติ เศวตวิมล 


ไม่ต้องไปสีลม...สุขุมวิทให้หงุดหงิด
       กรุงเทพทางด้านเหนือก็มีร้านอาหารอร่อยนานาชาติ
      “ป้าช้อย”...ถามผมว่า เคยกินอาหารฝีมือพวกพระยามหาอำมาตย์ธิบดีแล้วหรือยัง
       ผมฟังแล้วก็เง็ง...เง็ง เพราะผมเป็นเด็กรุ่นหลัง ต่างไปจากคุณป้าที่มีปู่เป็นพระยา พวกผู้ใหญ่เขาถึงกัน
       ป้าแกคงจะอ่านความคิดเห็นผมทัน ก็เลยบอกผมว่า พระยามหาอำมาตย์ที่ว่าก็คือบิดาของคุณลุง “สรรพสิริ วิริยศิริ” นักหนังสือรุ่นพี่ของคุณป้าที่เคยเดือดร้อนสมัย 6 ตุลา 2519 ร่วมกันมา
      คุณลุงสรรพสิริเก่งสารพัดตั้งแต่เป็นนักข่าว ช่างภาพ เป็นผู้กำกับรายการโทรทัศน์
      ผมจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่ท่านเขียนไว้ ชื่อ “ก็แค่...นักหนังสือพิมพ์เท่านั้น” อ่านแล้วในมันฮึกเหิม เลยต้องมาทำงานเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์มาจนถึงทุกวันนี้


                                          “หอมคำ” ของกินเล่นของขุนนางไทย


  ป้าช้อย...บอกผมว่า คุณลุงสรรพสิริมีหลานสาวมีฝีมือทำอาหารคาวหวาน ชื่อ “เฉลิมเนตร วิริยศิริ”
       ที่ต้องเรียกว่าเป็นอาจารย์ ก็เพราะเป็นอาจารย์โรงเรียนดนตรี “ศุภกร” อยู่แถวถนนสามเสน ท่าวาสุกรี เป็นโรงเรียนสอนดนตรีเก่าก่อน คนในวงการเพลงรู้จักกันดี ผมก็รู้จัก แต่ไม่ยักกะรู้ว่าอาจารย์เฉลิมเนตรเก่งเรื่องอาหาร
      จนกระทั่งป้าช้อยพาผมไปร้านชื่อ “เตาปูน บิสโทร” อยู่ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี เลยสามแยกเตาปูน แล้วก็อยู่เยื้องโรงพักเตาปูน ผมจึงได้รู้ว่า พวกนักดนตรีทำอาหารเก่ง!!
ร้าน “เตาปูน บิสโทร” อยู่ริมถนน หาง่าย แค่เห็นสีทาร้านใครเห็นก็ต้องจำได้ เพราะอาจารย์เล่นทาสีซะเหลืองอ๋อย ราวกับจีวรพระ แถมตัดด้วยสีเขียว เหมือนกับเป็นนักเรียนเก่าวัดเทพศิรินทร์อย่างนั้นล่ะ
        ความจริงร้านนี้เป็นบ้านเก่าสมัยเจ้าคุณปู่ เอามาดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารแบบฝรั่ง อย่างที่เรียกว่า “บิสโทร” (BISTRO) ซึ่งมีความหมายว่า
        
                                           “วอฟเฟิล” สูตรจากเบลเยียม


       เป็นร้านอาหารเล็ก...เล็ก แต่อร่อยแบบ “โฮมเมด” คือทำกินกันเอง เพื่อความสุนทรีย์
       อาจารย์เพลินเนตร ก็ตั้งใจประมาณนั้น
       ทำร้านอาหาร “เตาปูน บิสโทร” ก็เพราะจะโชว์ฝีมือในการทำอาหารมากกว่าจะค้ากำไร
อย่างที่ผมบอกไว้ว่า ร้านนี้ดัดแปลงมาจากบ้านเก่าสมัยร้อยปี อาจารย์เฉลิมเนตร วิริยศิริเป็นเจ้าของกิจการ แล้วให้หลานสาวผู้เชี่ยวชาญอาหารหวานคาวนานาชาติทิ้งงานโรงแรมระดับเงินเดือนแพง...แพงมาเป็นแม่ครัวร้านนี้
        อาหารร้านเตาปูน บิสโทร มีทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทย กระทั่งอาหารจีนประเภทจานเดียว กินง่าย...ง่าย ราคาไม่แพง
        อารหารฝรั่งเป็นฝีมือดัดแปลงของแม่ครัวตัวดีที่ไม่ก็อปปี้ฝรั่ง เพราะเรามีรสลิ้นเป็นของเรา
        แต่ถ้าเป็นอาหารไทย ก็จะเป็นอาหารของขุนน้ำขุนนางเก่า ทำกินกันในบ้านให้ลูกหลานรู้รสมือของปู่ย่าตายาย
        ผมไปกินกับป้าช้อยคราวนั้น ก็ติดอกติดใจ ก็เลยต้องมาเขียนเล่าให้ได้รู้...รู้กันไว้
        เพราะนอกจากอร่อยราคาถูกแล้ว ร้านนี้สะดวกสบาย มีที่จอดรถในบ้านเป็นสิบคัน แถมเตาปูนไม่ไกลจากหน้าบ้านสวนเมืองนนท์ซะเท่าไหร่
   ส่วนจะเลือกกินอะไรก็ตามอัธยาศัย ร้านนี้ก็เหมือนร้าน “ป้าแมว” หลานสะใภ้ “เจ้าพระยาอภัยภูเบศร” เจ้าเมืองพระตะบอง ร้านนี้ก็ดอง...ดองกันเพราะว่า
        พระยามหาอำมาตย์ธิบดีที่เป็นเจ้ากรมแผนที่ และเป็นคนแรกที่เรียกร้องเสียมราฐ พระตะบอง มงคลบุรี ศรีโสภณให้กลับมาสู่อ้อมอกไทย
         เรื่องผู้ใหญ่ เรื่องขุนน้ำขุนนางทั้งหลาย ป้าช้อยแกเก่ง ส่วนผมคงจะเก่งแค่กิน
         ไปกินกันเถิดครับ ร้านลูกหลานบรรพบุรุษไทย ผู้สู้เพื่อประเทศชาติมาแล้วทั้งนั้น...
       
                                                “อาจารย์เพลินเนตร วิริยศิริ” รร.ดนตรีศุภการ หลานสรรพสิริ วิริยศิริ เจ้าของร้าน
       
       ร้านเตาปูน บิสโทร


                                          “เตาปูน บิสโทร”
       1242/1 ปากซอยกรุงเทพ-นนทบุรี 28 บางซื่อ กทม. 10800 โทรศัพท์ 02-911-5898 เปิดขายทุกวัน ระหว่างเวลา 10.30 - 22.00 น. (หยุดวันจันทร์ที่ 2 และวันจันทร์ที่ 4 ของเดือน)...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th